Wieder zurück in Yokyakarta planen wir auch schon den nächsten kleinen Ausflug.
Da eines der Highlights des Landes nur etwa 30 km entfernt liegt und wir nach der Dieng Plateau Tour sowieso früh ins Bett gehen und morgen mit Sicherheit früh wieder wach sind, haben wir mit Peters Hilfe eine Sunrise-Tour nach Borobudur gebucht.
100.000 Rp (7€) kostet uns der Spaß pro Person und weil ich ja so unglaublich gerne früh aufstehe, freue ich mich besonders auf den Start dieser kleinen Tour.:?
Pünktlich um 3.45 Uhr steht unser Fahrer vor der Tür.
Ich weiß nicht wie Bonny das immer macht aber wärend sie ganz normal zum Auto geht und ganz normal einsteigt, kann man bei mehr ehr von ganz normal zum Auto schleppen und dann irgendwie ganz normal in den Sitz plumpsen sprechen.
Egal, wichtig ist, daß unser Fahrer fit ist.
Anscheinend sind wir die einzigen, die bei dieser Tour mit machen.
Um so besser, da kann ich die Stunde Fahrt nutzen und noch ein wenig bubu machen.😂
Ich weder auch erst wieder wach als es heist, das wir unser Ziel erreicht haben, wobei der „Streß“ jetzt eigentlich erst richtig los geht.
Wir haben nämlich gerade mal den Parkplatz von dem man zum Aussichtspunkt laufen muß erreicht.
30.000Rp kostet es uns hier noch mal Eintritt, dann laufen wir auch schon los……fast jeden falls.
Ich muß nämlich noch an einem kleinen Stand halt machen um mir einen Kaffee zu organisieren. 🙂
Etwa ne halbe Stunde brauchen wir um den Platz mit dem schönsten Blick zu erreichen.
Alleine sind wir hier Oben dann auch nicht wirklich, wobei es uns immerhin gelingt einen schönen Platz zu sichern, wo einem (bis auf eine Ausnahme und ich hasse den Typen dafür) Niemand ins Bild latscht.
Dann heißt es warten um etwa eine Stunde später beim Abstieg zufrieden festzustellen, daß sich das frühe aufstehen doch gelohnt hat weil der Blick zum Merapi wärend hinter dem Vulkan langsam die Sonne aufgeht wärend in der Ebene davor noch aus dem Grün der Bäume die Nebelschwaden aufsteigen und ganz klein mittendrin Borobudur zu swhen ist einfach toll ist, sogar für einfachen Morgenmuffel wie ich einfacher bin………Aber seht selbst.
Jetzt bringt uns unser Fahrer zum Tempel und weil ich doch ein wenig zu faul bin ne riesig lange Erklärung zu schreiben, hier ein paar Auszüge aus Wikipedia:
Borobudur ist eine der größten buddhistischen TempelanlagenSüdostasiens.
Die kolossale Pyramide befindet sich rund 25 Kilometer nordwestlich von Yokjagarta, wurde 1991 von der UNESCO als Weltkulturerbe anerkannt und gilt als das bedeutendste Bauwerk des Mahayana-Buddhismus auf Java.
Gebaut wurde die Stupa vermutlich zwischen 750 und 850 während der Herrschaft derSailendra-Dynastie. Als sich das Machtzentrum Javas im 10. und 11. Jahrhundert nach Osten verlagerte (vielleicht auch in Verbindung mit dem Ausbruch desMerapi 1006), geriet die Anlage in Vergessenheit und wurde von vulkanischer Asche und wuchernder Vegetation begraben. 1814 wurde sie wiederentdeckt, aber erst im Jahr 1835 brachten Europäer sie wieder ans Tageslicht. Ein Restaurierungsprogramm in der Zeit zwischen 1973 und 1984 brachte große Teile der Anlage wieder zu früherem Glanz.
Insgesamt neun Stockwerke türmen sich auf der quadratischen Basis von 123 m Länge. An den Wänden der vier sich stufenartig verjüngenden Galerien befinden sich Flachreliefs in der Gesamtlänge von über fünf Kilometern, welche das Leben und WirkenBuddhas beschreiben. Darüber liegen drei sich konzentrisch verjüngende Terrassen mit insgesamt 76 Stupas, welche die Hauptstupa von fast 11 m Durchmesser umrahmen.
Um diese Anlage auch betreten zu können müssen wir noch einmal richtig tief in die Tasche greifen.
Peter hat uns erzählt, das man letztes Jahr generell beschlossen hat auf Java die Eintritts Preise zu erhöhen.
Komischerweise richtet man sich bei den Preisen übrigens nach US Dollar.
Das mal nur am Rande.
Hat der Eintritt also letztes Jahr für Touristen 120.000 Rp (10$) gekostet hat man mal eben die Preise auf saftige 25$ angehoben.
Ich sag mal eine kleine versteckte Preiserhöhung ist da schon zu erkennen.
Wobei uns unser Fahrer erklärt, daß wir Glück haben, weil in der letzten Woche der Dollar Kurs gesunken ist.
Letzte Woche hätten wir also 270.000Rp Eintritt berappen müssen, dem schwachen Dollar aber sei dank, diese Woche sind es nur 260.000Rp pro Nase. 😂
Was tut man doch nicht alles für ein wenig Kultur und so?!
Wo bei ich sagen muss, das dieser Tempel schon echt schön ist.
Es gibt richtig viel zu sehen und zu entdecken und die 3 Stunden die uns der Fahrer Zeit gegeben hat vergehen wir im Flug.
Dazu kommt noch, das weil es so früh ist und weil zum Ramadan viele einfach Zuhause bleiben, der Tempel nicht so überlaufen ist, wie ich befürchte hatte.
Jetzt hab ich aber auch keine Lust mehr zu schreiben, schließlich hab ich sooooooo viele Bilder, die ich hier hochadel will.
Also hier ganz viele schöne Bilder und natürlich dann noch ganz viel toll geschriebener Text von Bonny.
วันที่ 13 มิถุนายน 2559 หลังจากที่เรากลับมาจากทริปเดินชมหมู่บ้านเดียงปาทูแล้ว เมื่อกลับมาถึงที่พักเราก็วางแผนเลยว่าวันพรุ่งนี้เราจะทำอะไร บอสสั่งๆบลหาๆปีเตอร์จองๆ! เราจองทริปไปเดินเขาเมอราพีในวันถัดไป แต่เช้าของวันนี้เราจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกันที่วัดบูโรพุทธโธ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่เก่าแก่ที่องค์กรยูเนสโก้รับรองไว้ และเป็นสถานที่ที่ทุกคนต้องไปให้ได้ แต่ด้วยที่การจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่วัดเลยไม่ใช่เรื่องยาก แต่ไม่ง่ายสำหรับคนที่ต้องการประหยัดงบ เพราะที่นี่ปกติจะเปิดปิดเป็นเวลาและไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้านอกเวลา หากอยากเข้าไปจริงๆก็ต้องจ่ายค่าเข้าที่แพงกว่าปกติมาก หรือไม่ก็ต้องไปพักในโรงแรมที่อยูติดกับวัด เพราะเค้ามีประตูเข้าออกวัดอยู่ในส่วนของทางโรงแรมโดยตรงเลย ถ้าพักที่นั่นลูกค้าของเค้าจะเข้าชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ฟรี เมื่อเรารู้ว่าตั๋วค่าเข้าแพงเราจึงเปลี่ยนไปเป็นไปชมพระอาทิตย์ที่เขาฝั่งตรงข้าม ทริปนี้จ่ายไป 100000Rp. ต่อคน
ในตอนเช้ามืดเวลา ตีสาม รถมารับเราที่หน้าประตูบ้านเช่นเคย คนขับพาเรามุ่งหน้าไปยังจุดชมวิว Borobudur Nirwana Sunrise เราใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วโมงจากเมือง การเดินทางสบายๆเพราะมีแค่เราสองคนหลับอย่างเดียวเลย เมื่อถึงคนขับก็แนะนำเราว่าต้องทำอะไรยังไงเพราะเค้าจะไม่ขึ้นไปด้วยแต่จะรอที่รถ ซึ่งที่จุดชมวิวแห่งนี้ก็มีนักท่องเที่ยวมายังที่นี่มากมายพอสมควร เราต้องซื้อบัตรเข้าอีกคนละ 30000Rp. จากนั้นก็เดินขึ้นไปไม่ไกลนักพอหอบนิดหน่อย ผู้คนยืนรอชมพระอาทิตย์ขึ้นกันมากหน้าหลายตา ระหว่างทางขึ้นก็จะมีร้านขายขนมกาแฟไว้ให้บริการอยู่หลายจุด เราหาที่นั่งเหมาะๆ (หายากนะเพราะพื้นที่จำกัดกับคนจำนวนมาก) เราได้นั่งรอนั่งมองแสงอาทิตย์เริ่มสว่างขึ้นทีละน้อยทีละนิด เราสามารถมองเห็นภูเขาไฟเมอราพีจากมุมนี้ด้วยนะ แต่เช้านี้ฟ้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่แต่ก็ยังพอเห็นความสวยงามอยู่ข้างหน้า ยืนดูสักพักพอแสงจ้าเวลาถึง เราก็ต้องลงไปหาคนขับเพื่อไปยังวัดบูโรพุทโธต่อ เพื่อรีบไปดูแสงเช้าที่วัดน่าจะสวยงามกว่า
เรารีบลงจากเขาแล้วรีบขึ้นรถจากนั้นก็มีคนขายของขวัญของฝากเข้ามาเสนอขายในรถแต่เราก็ปฏิเสธอย่างเดียว ตื้อๆหน่อย คนขับก็ไม่พูดอะไรอาจจะด้วยมารยาท แต่เราไม่ได้ต้องการ แต่ดูเหมือนคนขายพยามยามจะเสนอลดราคามาเรื่อยๆจนได้ราคาที่ถูกมากๆๆ ไม่รู้ว่าบลหูฟาดไปหรือเปล่า จากราคาที่เค้าเสนอมา 100000รูเปีย ไล่ลดลงมาเหลือ 7000รูเปีย (บลว่าหูบลฟาดแน่ไม่น่าจะถูกขนาดนั้น) แต่ด้วยบลไม่รู้จะซื้อมาทำไมเลยปฏิเสธอย่างเดียว จนน้าเค้ายอมออกไปจากรถ
จากนั้นคนขับพาเราขับไปไม่ไกลก็ถึงวัดบุโรพุทโธ เราลงจากรถคนขับพาเราเดินเข้าไปและซื้อตั๋วให้ก่อน ก่อนหน้านี้คือตกลงกันในรถแล้วว่าจะจ่ายตั๋วเองหรือจะให้เค้าเก็บทีเดียว เราบอกให้เก็บทีเดียวไปเลย รวมในบิล พี่เค้าดูจริงใจและซื่อสัตย์ดีชอบ แล้วพี่เค้าก็พาเดินไปที่เคาเตอร์โรงแรม แล้วก็จัดการซื้อตั๋วให้เราสองคนโดยพี่เค้าจ่ายไปก่อน จากตรงนี้พี่เค้ายื่นตั๋วให้เราเข้าไปด้านในพร้อมกับรับน้ำดื่มฟรี ส่วนพี่คนขับก็รอในรถ นัดแนะกันเรียบร้อยว่ารอตรงไหน เรารับชากับกาแฟมา บอสนั่งทานอย่างสบายใจ แต่บลอยากไปเร็วๆเพื่อรับวิวแสงอาทิตย์ยามเช้าเพราะมันจะสวยมากและที่สำคัญไม่ร้อนด้วย บอสนี่ตลอดเลยสายชิว เราก็ต้องรอตลอด เมื่อเริ่มสตาร์ทออกมุ่งหน้าเข้าหาวัด บลนี่วิ่งอย่างเดียวเลยกลัวพระอาทิตย์จะขึ้นสูงกว่านี้ เดี๋ยวจะไม่ได้เห็นความสวย แต่ระหว่างเดินไปที่วัดนั้นก็จะมีคนมาขายของฝากให้เรา เราก็ปฏิเสธอย่างเดียว แต่บอสสิไม่อยากให้เค้าเสียน้ำใจเค้าอุตส่าห์ตามตื้อ ถามชื่อเสียงเรียงนาม จนพี่คนขายก็บอกว่าเค้าชื่อนี่นะ จำเค้าไว้นะ ถ้าลงมาเดี๋ยวเราค่อยดูของก็ได้ ในใจบลคิด „จะได้เจอเหรอ“ เมื่อถึงวัดไม่สนใจอะไรเลยมุ่งหน้าปีนขึ้นบันไดอย่างเดียว แต่ระหว่างที่ขึ้นก็ชำเลืองเห็นว่าอลังการจริงๆ แต่ต้องรีบวิ่งขึ้นบรรไดเพื่อไปยังด้านบนสุดก่อนแล้วค่อยไล่ดูลงมาทีละขั้น เป็นไปตามคาด เช้าสุด บนสุด คนน้อย อากาศดี แสงสวย วิวสวย พร้อมฉากวัดอลังมาก เราเดินวนอยู่ด้านบนสองสามรอบดูวิวสวยๆพร้อมกับมุมสวยๆของวัด ที่นี่น่าสนใจมาก พระพุทธรูปตั้งอยู่ด้านในเจดีย์ที่ครอบเอาไว้ แต่เมื่อส่องดูพระพุทธรูปด้านในปรากฏว่าหัวของพระพุทธรูปหายไปเยอะมาก บางจุดก็มีพระพุทธรูปนั่งอยู่บนฐานที่ไม่มีฝาครอบ บางองค์ก็นั่งเรียงรายอยู่ริม หรือมุม บ้างไม่มีหัว บ้างมีหัว ผสมกันไป รอบๆวัดจะมีศิลปะฝาผนังหินแสดงประวัติต่างๆเป็นรูปภาพหินแกะสลัก สวยงาม ภาพยังคงชัดเจน มีการนำชิ้นส่วนภาพหินอิฐมาวางทาบในส่วนที่พุพัง ทำให้ภาพสลักหินดูแปลกตา สลับรูป ลวดลายไปบ้าง แต่ทุกอย่างยังดูล้ำค่าและโบราณ ซึ่งแตกต่างจากปราสาทที่กัมพูชาที่มีการบูรณะใหม่เยอะมากและส่วนมากคือการสร้างจากของใหม่ทั้งหมด แต่ที่นี่เค้าจะใช้หินของเก่าที่ยังหลงเหลืออยู่ตามอาณาบริเวณวัดเอามาปรับปรุงแก้ไข ต่อเติม เราเดินไล่ลงที่ละชั้น ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมี 7ชั้นนะ เหมือนสวรรค์ชั้น7อะ แต่ละชั้นจะคล้ายๆกันแต่รายละเอียดต่างกัน เราสนุกกับการเดินสำรวจที่นี่มาก นักท่องเที่ยวเริ่มมาเรื่อยๆแต่ก็ยังถือว่าพอรับได้ไม่เยอะเท่าไหร่ พี่คนขับบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงถือสินอดนักท่องเที่ยวเลยไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ถ้าสัปดาห์สุดท้ายหรือหลังถือสินอด ทุกคนจะพาครอบครัวออกมาเที่ยวมาก ฉะนั้นการมาเที่ยวในช่วงถือสินอดถือว่าเป็นไอเดียที่ดีไม่น้อย ไม่ต้องแอร์อัดกัน แย่งกันกินกันเที่ยว เราเดินโอ้เอ๋จนได้สังเกตุเห็นหลายอย่าง มีนักท่องเที่ยวบางคนมาเพื่อนั่งสมาธิ มารับจิตวิญญาณที่วัดแห่งนี้ แต่งชุดขาวสะอาด นั่งสมาธิอย่างสงบท่ามกลางนักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่เดินผ่านและคุยกัน บอสสงสัยว่าเค้าจะมานั่งที่นี่ทำไม มันไม่ได้ทำให้เค้าสงบเลย บลก็คิดเช่นเดียวกับบอสนะ แต่ในเมื่อเค้ามีใจที่จะสู้และเอาชนะสิ่งรอบข้าง นั่นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญว่าเค้าจะนั่งสมาธิที่ไหน ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจของเค้า หลังจากตรงนี้เราเดินลงไปจนถึงชั้นล่างสุดและก็ต้องรีบเดินทางกลับไปหารถที่จอดรออยู่ช่องC เมื่อเราเดินหาทางออกไปเรื่อยๆตามป้ายบอกทาง สุดท้ายเราเจอคนขายของให้เมื่อตอนเข้ามา เค้าจำชื่อลูกค้าไว้ด้วยนะ แถมยังเดินตามตื้อเช่นเลย ทุกคนที่เราและเค้ากล่าวทักทายไว้ เค้าจะวิ่งเข้ามาหาเราหมด เราต้องพยายามใช้วิทยายุทธการเจรจาเพื่อปฏิเสธแบบนุ่มนวล สำหรับบลคือถ้าพูดก็ยิ่งยาว บลจะเดินหนีอย่างเดียวช่วงแรกจะบอกปฏิเสธและส่ายหัว แต่ถ้ายังตื้อบลก็จะไม่พูดอะไรมากเดินอย่างเดียว แต่บอสเป็นคนที่ไม่อยากให้เค้าเสียน้ำใจก็พยายามปฏิเสธอย่างนุ่มนวล เราสลัดทิ้งที่ละคน จนเหลือคนขายคนสุดท้าย ตอนแรกเสนอราคาสุดมหาโหดมาให้ เมื่อตามตื้อนานๆก็ลดราคามาเรื่อยๆ เราบอกไม่สนใจ จนเค้าบอกว่าให้ฟรีเลยเอ้า! :O เราสองคนมองหน้าแต่ก็ใช่ว่าจะอยากได้ บลเลยบอกไปว่าเราไม่ได้ต้องการถึงให้ฟรีก็ไม่เอา ของฟรีไม่มีในโลกหรอก แต่ถ้าจะให้ฟรีงั้นก็ขายมาในราคา 7000รูเปีย สิ พี่คนขายสตั้นนิดหนึ่ง แล้วก็พูดงึมงำไรจำไม่ได้ แล้วจึงยอมเดินถอยออกไป บวกกับเราเดินถึงประตูทางออกพอดี จากตรงนี้เราเห็นร้านขายของฝากเยอะแยะมากมาย บลเลยอยากรู้ว่าไอ้ของฝากรูปบุโรพุทโธที่เค้าตามตื้อขายให้เนี่ย ในร้านเค้าขายเท่าไหร่กันแน่ พอถามตอนแรกก็ได้ราคาที่ 50000-70000 รูเปีย แม่ค้าก็พยายามลดราคาให้ลงมาที่ 25000รูเปีย ซึ่งราคาถือว่าโอเค ไม่หลอกนักท่องเที่ยวเกินไป พอรับได้ แต่บลก็ไม่รู้จะซื้อไปทำไม บวกกับเราไม่มีพื้นที่ในกันยัดของเหล่านี้ด้วย จึงไม่ได้ซื้อ หลังจากตรงนี้เราก็เดินไปหาคนขับรถและก็กลับห้องไปพักผ่อนกันให้อิ่มใจไปเลยรอทริปใหญ่ในวันพรุ่งนี้
Ich weiß es ist bestimmt total verwerflich und ich will keine religiösen Gefühle verletzten, aber irgendwie erinnerten mich einige Bauwerke an ein Hilfsmittel 😉

LikeLike
Die Frage ist jetzt, was war zu erst da?! Pümpel oder Tempel?
LikeLike
Bestimmt der Pömbel !
Damit konnte man immerhin schon „Das Schicksal von Atlantis“ lösen.
Ich sage nur „U-Boot“ !
LikeLike